แชร์เรื่องเล่า Wedding Studio เกาหลี
เจาะลึกทุกเรื่อง สตูดิโอถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง ที่เกาหลี
ปลายปีที่แล้ว (2013) บางกอกเวดดิ้งได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับ KTO (องค์การท่องเที่ยวเกาหลี) ไปดูธุรกิจแต่งงานที่นั่น (ดูกันฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ )
... งานนี้ เป็นการระดมบริษัทธุรกิจแต่งงานชั้นนำของแต่ละประเทศเพื่อโปรโมทธุรกิจแต่งงานที่เกาหลี ไม่ว่าจะเป็น บริษัททัวร์ , นิตยสาร , เวดดิ้งแพลนเนอร์ และเวดดิ้งสตูดิโอ จากหลากหลายประเทศ อาทิ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโอนิเซีย สิงคโปร์ บางกอกเวดดิ้งได้เป็น 1 ใน 4 บริษัทที่ได้รับเชิญไปที่นั่นด้วย ( โอ้วว!! ) งานนี้เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับว่า ทริปท่องเที่ยวและถ่ายรูปแต่งงานที่เกาหลีของเจ้าสาวๆ หลายคนๆ เป็นอย่างที่เราวาดฝันกันหรือไม่ ....
เริ่มต้นด้วยการเดินทางกับ Korean Air ไปกับตัวแทน 4 ธุรกิจแต่งงานในเมืองไทย ได้แก่
- บางกอกเวดดิ้งแพลนเนอร์ แอนด์ สตูดิโอ (ตัวแทนเวดดิ้งสตูดิโอ)
- Sun Moon Tour and Travel (ตัวแทนการท่องเที่ยว)
- Wedding Creation Magazine (ตัวแทนสื่อสิ่งพิมพ์และนิตยสาร)
- Maple Love Wedding Planner (ตัวแทนเวดดิ้งแพลนเนอร์)
ออกเดินทางจากเมืองไทย ประมาณ 5 ทุ่ม กว่าจะไปถึงที่เมืองโซล ประเทศเกาหลีก็ 7 โมงเช้าได้ ช่วงที่ไปนั้นอากาศหนาวกำลังดี ประมาณ 1-10 องศา ใส่เสื้อหนาวแล้วกำลังเย็นได้ที่ อากาศดีมากๆ เริ่มต้นกันที่สนามบินด้วยการพบปะกับไกด์ท้องถิ่นที่นั่น มิสเคย์ (Ms. Kay) และตัวแทนนานาประเทศอีกกว่า 10 คนที่สนามบิน กว่าจะมากันครบ ก็ปาเข้าไป 10 โมงกว่าได้ .. ระหว่างทีเรารอกันนั้น พวกเราคณะชาวไทยต่างก็พักผ่อน ดื่มกาแฟ เดินเล่นกันตามอัธยาศัย บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็นอนเอาแรงต่อจากที่นอนกันไม่เต็มที่ในเครื่องบิน .. รวมไปถึงเปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทำความรู้จักกันอย่างเมามันส์
... การมาเที่ยวครั้งนี้มีกฏข้อบังคับง่ายๆว่า อนุญาตให้บริษัทส่งตัวแทนมาได้เพียง 1 คนต่อบริษัท ไม่สามารถมีผู้ติดตามเพิ่มได้ ทีแรกก็กลัวเหมือนกันว่าจะเหงาและไม่มีเพื่อน แต่..ไม่เลย ! เพราะทุกคนล้วนมาเพียงคนเดียวหมด จึงทำให้เราเปิดโอกาสทำความรู้จักกับทุกๆ คน ทุกประเทศที่มาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แถมคนที่มาแต่ละคน ต่างก็อายุอานามไล่ๆ กันหมด บรรยากาศเหมือนสมัยรับน้องมหาลัยช่วงวัยรุ่นเลยทีเดียว ... จะว่าไปแล้ว บริษัทัวร์น่าจะจัดทริปเดี่ยวที่อนุญาตให้มาเพียงคนเดียวแบบนี้ น่าจะสนุกไม่ใช่น้อย ....
หลังจากรวมตัวกันครบแล้ว เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ Seoul ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. กว่าได้ เข้าไปที่เก็บกระเป๋าพักผ่อนกันที่ Seoul Plaza Hotel ใจกลางเมืองโซลเลย ( แบบว่าสามารถเดินข้ามถนนมาแล้วเจอเมียงดง แหล่งชอปปิ้งวัยรุ่น ประมาณสยามบ้านเราเลย ) กำหนดการวันแรกเป็น Free Day เราเที่ยวกันเอง (การดูงานจริงๆ จะเริ่มจากวันที่สอง) วันแรกนี้เราเลยไปชอปปิ้งซื้อของฝากกันก่อนเลยที่เมียงดง มีเครื่องสำอางแบรนด์ดัง อ่ย่าง Skin Foods และ Etude ที่ราคาถูกมากๆ แล้วพลบค่ำ จึงไปเดินเก็บบรรยากาศท้าอากาศ 1องศากันที่คลอง Cheonggyecheon ( อีกหนึงสถานที่ยอดฮิทที่มักเห็นกันในซีรีย์เกาหลี)
เริ่มต้นวันที่สอง ด้วยตารางเดินสายแน่นเอี๊ยด ...สถานที่แรก เราเดินทางไปที่ i-wedding สตูดิโอไอทีอันดับหนึ่งของโลก ( ไม่รู้ว่าอันดับหนึ่งยังไง เขาอ้างมาว่าอย่างนั้น ) .. ต้องบอกก่อนว่า การทำธุรกิจสตูดิโอที่นั่นจะไม่เหมือนกับที่บ้านเรา ... เนื่องจากที่เกาหลีมีเวดดิ้งสตูดิโอเยอะมาก ดังนั้น สตูดิโอส่วนใหญ่จะขายแพคเกจผ่าน Agency เพื่อให้อเจนซี่ไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง ( บางคู่ถ้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เดินไปซื้อตรงๆ อาจจะราคาแพงกว่าได้ ) i wedding จึงเป็นเสมือน Agency ที่ใหญ่ที่สุด มีพาร์ทเนอร์ที่ติดต่อด้วยมากมาย ผลงานหลากหลายสตูดิโอก็ใช้ได้เลยทีเดียว เราสามารถที่จะเข้าไปติดต่อกับเขาแล้วให้เขาจัดการทั้งหมด ตั้งแต่รับที่สนามบิน เดินทาง หาที่พัก ท่องเที่ยว ถ่ายภาพสตูดิโอ จนไปถึงส่งกลับสนามบินได้เลย
เมื่อจบจาก iwedding แล้ว เราก็ไปต่อกันที่ Oriental Medical Spa พาชาวคณะทุกคนได้ลิ้มรสและสัมผัสกับสปาเกาหลี เป็นสปาเพื่อการบำบัด สามารถพูดคุยและปรึกษากับหมอรักษาได้เลย .. เนื่องจากผมไม่เคยนวดหรือทำสปามาก่อน จึงบอกไม่ได้ว่าสปาอันนี้นวดได้ดีแค่ไหน จึงขอไม่ออกความเห็นใดๆ หากใครมีโอกาส ก็แนะนำให้ลองไปกันดู แต่ราคาน่าจะแพงอยู่พอสมควรเลย (เห็นจากขวดน้ำมันนวดที่วางขายแล้ว หลักหมื่นบาทไทยเชียวล่ะ ..)
จบจากสปา เราก็ไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน Bibigo ข้าวยำเกาหลี รสชาติจากปากเพื่อนร่วมคณะเขาว่าอร่อยทีเดียว แต่คงจะไม่ถูกปากผม ผมยังคงชอบอาหารไทยมากกว่า ..ระหว่างทานอาหาร ก็ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยถึงประวัติศาสตร์เกาหลีที่น่าสะเทือนใจมาก ... ประวัติศาสตร์เกาหลีที่เรารู้มานั้น เขียนโดยชาวญี่ปุ่น เป็นมุมมองจากชาวญี่ปุ่น แต่หากได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากที่ประเทศเกาหลีเอง จะรู้ได้เลยว่า ชาวเกาหลี รุ่นเหนือเจน X ขึ้นไป ..เกลียดชาวญี่ปุ่นมาก ส่วนเกลียดเพราะอะไรนั้น ต้องลองไปศึกษาประวัติศาสตร์จากชาวเกาหลีกันดู
หลังจากทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว เราก็ไปเยี่ยมชม Modern Souls Photo Studio เป็นเวดดิ้งสตูดิโอระดับกลางๆ ที่ขึ้นชื่ออีกที่หนึ่ง ภาพผลงานใน internet บางส่วน เราก็เห็นมาจากที่นี่ ผมพึ่งเห็นว่า ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่สร้างภาพเก่ง ที่สตูดิโอเกาหลีก็เก่งไม่แพ้กัน สถานที่ที่ตาเนื้อจริงเรามองเห็น แตกต่างจากบนหน้าจอคอมแบบหน้ามือหลังมือเชียว
การถ่ายภาพสตูดิโอที่นี ( ทุกที่ในเกาหลี ) จะมีแอคชั่นหรือโพสมาแล้วทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องครีเอทอะไรใหม่ๆ หรือสร้างความเอกลักษณ์ให้กับแต่ละคู่บ่าวสาว 10 กว่าปีที่แล้ว เคยถ่ายต้นแบบไว้อย่างไร 10 ปีต่อมา ก็ยังถ่ายกันแบบนั้น ... ช่างภาพแทบจะไม่ต้องมีความรู้ด้านการถ่ายภาพ เพราะทุกอย่างถูกเซทมาแล้ว เราสามารถเอาใครก็ได้มากดชัตเตอร์ถ่ายภาพ ขอแค่พูดคุยกับแบบเก่ง และบิ้วอารมณ์แบบเก่ง ก็นับว่าใช้ได้แล้ว
หลังจากใช้เวลาที่เวดดิ้งสตูดิโอสักพัก เราก็ไปต่อกันที่ร้านตัดชุดแต่งงาน Lee Seung Jin ร้านตัดชุดแต่งงานชื่อดัง เจ้าของเป็นดีไซนเนอร์ในระดับนานาชาติ ฝีมือย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน อย่างชุดข้างล่างนี้ ใช้ผ้าเกรดดี ลูกไม้งานเนี้ยบสุดๆ และใช้คริสตัลแท้เงาวาวเล่นกับแสงไฟสวยมาก (เจ้าของไม่อนุญาตให้จับชุดเขาด้วยมือเปล่า) สนนราคาเช่าชุดนี้ก็ไม่แพงมาก (ไม่ขาย เช่าอย่างเดียว) ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300,000 บาทเท่านั้นครับ
ที่นี่การแต่งงานครั้งนึงใช้เงินประมาณ 1 ล้าน บาทเป็นอย่างน้อย โดยทั่วไปก็ประมาณ 2 ล้านบาท ชุดแต่งงานราคาเช่า 300,000 บาท ก็คงไม่ใช่เรื่องที่หนักหนาเกินไป เพราะว่า ค่าแรงขั้นต่ำที่นี่ พนักงานขายของ พนักงานร้าน FastFood หรือกรรมกรระดับล่าง ก็ได้กันประมาณเดือนละ 50,000 บาทไทยแล้ว คนทั่วไปที่มีการศึกษาได้งานดีหน่อย น่าจะได้เงินเดือนกันประมาณ 120,000-300,000 บาท เก็บเงินกันไม่กี่เดือน ได้ชุดแต่งงานในฝันก็ไม่ได้ยากเกินไป
เสร็จจากร้านชุดแต่งงาน ก็วิ่งไปไม่ไกลกันไปที่ Avenue Juno ร้านเสริมสวยสำหรับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ธุรกิจแต่งงานที่นี่แตกต่างจากเมืองไทยตรงที่ ทุกการบริการจะถูกแยกออกไปหมด ถ้าอยากจะถ่ายรูปแต่งงานที่นี่ จะต้องไปติดต่อเช่าชุดที่ร้านชุดแต่งงาน ไปแต่งหน้าทำผมกันที่ร้านเสริมสวย (อย่างเช่น Avenue Juno ) ไปติดต่อสตูดิโอขอช่างภาพและเปิดแพคเกจถ่ายสตูดิโอที่นั่น ซึ่งแตกต่างจากเมืองไทย ที่จะรวมทุกอย่างไว้ที่เวดดิ้งสตูดิโอที่เดียวหมด
จาก Avenue Juno (ที่ที่น่าจะเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับสาวๆ กับโต๊ะเครื่องแป้งที่แทบจะรวมทุกเคานเตอร์แบรนด์มาอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่ได้ทำให้หนุ่มๆ อย่างเรารู้สึกสนใจอะไร ) ออกมาแล้วก็เจอกับหิมะแรกของเกาหลีกันเลย หิมะลงมาแรงมาก ไกด์สาว Ms. Kay ของเราก็บอกให้ทุกคนเข้ามาหลบข้างใน แต่ชาวคณะทัวร์ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแถบเมืองร้อน ต่างก็วิ่งออกไปถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนาน ... เขาว่าได้สัมผัสหิมะแรกที่เกาหลีแล้วจะโชคดี ก็ขอให้ดีอย่างที่ว่าละกันนะครับ...
วันที่สองนี้เราทำเวลากันได้ดีพอสมควร เลยทำให้มีเวลาเหลือช่วงเย็น ไปเดินเล่นกันได้ประมาณครึ่ง ชม. ที่ถนน Samcheongdong ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Cafe Street นอกจากร้านกาแฟข้างทางแล้ว ยังมีร้านขายเสื้อผ้า แฟชั่น สวยๆ งาม อีกเพียบ แถมหนุ่มๆ สาวๆ ที่เดินกันละแวกนั้น หน้าตาดีกันทุกคน ผู้ชายเกาหลีนี่ได้เปรียบอย่างหนึ่งตรงที่ได้ขายาว บางคนได้ไหล่กว้างด้วย ทำให้รูปร่างดูดีเป็นพิเศษ ยิ่งหากบางคนผ่านมามีดหมอมาแล้วนั้น แทบจะถอดแบบมาจากดาราในทีวีกันเลย
เมื่อถึงช่วงพลบค่ำ ก็ได้เวลาทานอาหารค่ำสุดพิเศษ มื้อนี้ไปทานกันที่ร้าน Fradia เป็นร้านริมน้ำ ที่ทางองค์การท่องเที่ยวเกาหลีเป็นเจ้าภาพ รู้สึก Exclusive สุดๆ (ปกติเวลาออกไปถ่ายภาพข้างนอก กินข้าวกล่อง นอนกลางดินกินกลางทะเล ) บรรยากาศห้าดาวเลยครับ
เริ่มวันที่สามที่อุณหภูมิประมาณ 1-4 องศา ใบไม้กำลังเปลียนสี บางต้นใบก็หลุดร่วงลงมาแล้ว กำลังได้ฟีลดีที่สุด ใครพาแฟนมาถ่ายภาพในช่วงนี้ นอกจากจะได้ภาพสวยๆ กลับไปแล้ว ยังจะได้ประสบการณ์และความทรงจำแสนโรแมนติคที่ไม่มีวันลืมกลับไปด้วยแน่ๆ ... เช้านี้ ออกเดินทางกันไปที่ พระราชวัง เพื่อไปดูประวัติศาสตร์ที่มาที่ไปของเกาหลีในสมัยก่อน ลักษณะก็คล้ายกับพระราชวังของจีนนะครับ (ใครสนใจประวัติศาสตร์เกาหลี ก็ลองไปศึกษากันดูได้ ) ตอนที่เดินเล่นกันอยู่นั่น หิมะกำลังลงมาเบาๆ บรรยากาศกำลังดีเลยครับ มีร้านกาแฟขายของอยู่ในนั้น สาวเสิรฟที่นั่นก็ใส่ชุดฮันบก เข้ากับบรรยากาศ ผมขอเขาถ่ายรูป แต่น่าเสียดายที่เขาเขินและขี้อายมาก ไม่ยอมให้ถ่ายหน้า แต่อนุญาตให้ถ่ายแต่ชุดได้อย่างเดียว...
เสร็จจากพระราชวัง ก็เดินทางไปที่หมู่บ้าน Bukchon Hanok เป็นหมู่บ้านดั้งเดิมที่ยังคงมีกลิ่นไอสไตล์เกาหลีสมัยก่อน หากใครจัดทริปมาถ่ายภาพกับบางกอกเวดดิ้ง เราจะไปถ่ายภาพกันที่นี่ครับ ที่นี่นักท่องเที่ยวเดินกันเยอะมาก และมีสตูดิโอเกาหลีหลากหลายแห่งมักมาถ่ายภาพกันที่นี่ เพียงแต่ว่าช่วงที่ผมไป เป็นช่วงหน้าหนาว เจ้าบ่าวเจ้าสาวส่วนใหญ่ จึงเลือกที่จะถ่ายภาพในสตูดิโอแทน ( เพราะสภาพอากาศและอุณหภูมิที่เป็นแบบนี้ ทำให้เวดดิ้งสตูดิโอที่นี่หันไปเอาดีกับการตกแต่งสตูดิโอ และถ่ายภาพ indoor มากกว่าออกมาถ่าย outdoor ครับ )
ราคาถ่ายภาพสตูดิโอที่นี่ จัดว่าแพงพอสมควร ราคาถ่าย indoor อย่างเดียว ราคาหน้าร้าน เริ่มต้นกันที่ 80,000 บาท ถ้าออก outdoor ด้วย เฉพาะค่าตัวและค่าทีมงาน ก็น่าจะ 100,000 บาท up ( ราคาสตูดิโอชั้นนำที่ทำงานเป็นสากลและรองรับชาวต่างชาติได้ ) หากใครอยากไปถ่ายภาพ outdoor ที่เกาหลี แนะนำให้เอาช่างภาพจากบางกอกเวดดิ้งไปครับ ออกค่าเครื่องบินและค่าช่างภาพ ยังจะคุ้มกว่าจ้างทีมงานที่นั่น ...
เสร็จจากหมู่บ้านฮันบก เราก็ไปทานอาหารกลางวัน แล้วไปต่อกันที่ Ra Beauty Core ร้านทำผม ร้านเสริมสวย สำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ... จะมีห้องแยกต่างหาก เพื่อคุยรายละเอียดการแต่งหน้าและทำผมกับช่างโดยตรง จากที่ผมสังเกตร้านหลายๆ ที่ ที่นี่ มักจะชอบเอาดารามาโปรโมทกัน คงจะด้วยเพราะอาชีพดารานักร้องเกาหลีเป็นอาชีพในฝันของคนที่นี่ การโปรโมทแบบนี้ คงทำให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ก็คล้ายๆ กับบ้านเราเหมือนกันนะครับ บางที่ บางสินค้าใช้ดารามาโปรโมท ทั้งๆ ที่ดารานักร้องเหล่านั้น ไม่ได้ใช้สินค้าหรือบริการจริง ( หรือบางร้านจ้างดารามาใช้บริการตัวเองด้วยซ้ำ ... )
เดินทางต่อไปที่ ChoiJaeHoon ร้านชุดแต่งงาน ที่อยู่ใจกลางเมือง ..ตอนเข้าตึก แอบเห็นทีมงานกำลังถ่ายทำ Cinema Presentation เลยครับ ไม่น่าเชื่อว่า เอากล้อง D4 ตัวละ 4 แสน มาใช้ถ่าย Cinema ( การถ่าย Cinema จะทำร้าย Censor กล้องพอสมควร อายุการใช้งานกล้องแทบจะลดลงไปกว่า 2-3 เท่าตัว ไม่แปลกใจแล้วครับ ที่ราคาแพคเกจถึงได้แพงขนาดนั้น ) ร้านนี้เป็นตึก 3 ชั้น ชุดแต่งงานที่นี่ ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไร สไตล์ก็คล้ายๆ กับที่เมืองไทยมีเลยครับ
ตอนบ่ายคิวแน่นเอี๊ยด หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ ก็ไปเริ่มกันที่ The RAUM สถานที่จัดงานแต่งงานที่นั่น หรูหรา มีสไตล์ เหมาะกับการจัดงานแต่งงานในฝันมากๆ มีทั้งจัด indoor และ outdoor นึกภาพแต่งงานในโบสถ์เพดานสูง แสงอาทิตย์ส่องลงมาบนลานพิธี ... ที่ The RAUM คือแบบนั้นเลยครับ ราคาก็เบาะๆ ครับ ขั้นต่ำ แขก 20-30 คน ประมาณ 3 แสนบาทไทย ส่วนจัดงานแบบมาตรฐานอย่างบ้านเรา แขก 300 คน มีกินเลี้่ยงต่างๆ ก็ประมาณ 2 ล้านบาทครับ